ภาวะมลพิษทางอากาศภายในอาคาร
หมายถึง สภาวะการที่อากาศภายในอาคารมีสิ่งเจือปนอยู่ในปริมาณและระยะเวลาที่นานพอ ที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์ ต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
แนวทางหรือวิธีแก้ไขโดย การกำจัดหรือลดปริมาณสิ่งปนเปื้อนในอากาศให้มีปริมาณไม่มากพอที่จะทำอันตรายต่อสุขภาพ ในเวลาอันรวดเร็ว
หลักการควบคุมป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคในอากาศของอาคาร,สถานพยาบาล
1. การลดปริมาณเชื้อโรคในอากาศ โดยการระบายอากาศ
การดูดอากาศเสีย , การเติมอากาศสะอาด
2. กำหนดทิศทางการไหลของอากาศ (แรงลม/ความดันอากาศ)
ภายในห้อง , ระหว่างห้อง
3. การกรองอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ
4. การควบคุมอุณหภูมิ และความชื้น
ข้อเท็จจริงที่ควรทราบ/ปัญหาการควบคุมคุณภาพอากาศ
1. ฝุ่นละอองที่มีปัญหาจริงๆ คือฝุ่นละอองมีขนาดเล็กมากๆหรือเรียกว่าอนุภาคของฝุ่น และเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กกว่า 10µm จะฟุ้งกระจายอยู่ในห้องปะปนกับอากาศที่เราหายใจเข้าไป หากไม่มีการรบกวนใดๆจะใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะตกลงพื้น และหากเป็นห้องทำงานหรือพักอาศัย จะถูกรบกวนให้ฟุ้งกระจายหรือแทบจะไม่มีโอกาสตกลงบนพื้นเลย
2. การดูดฝุ่นด้วยเครื่องดูดฝุ่น สามารถทำได้กับฝุ่นละอองขนาดใหญ่ เนื่องจากถุงดักฝุ่นหรือแผ่นดักฝุ่นมีขนาดหยาบ เป็นไปตามตามประสิทธิภาพของถุงเก็บฝุ่น ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กจะเล็ดรอดออกมาจากเครื่องดูดฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่ภายในห้อง
3. เครื่องปรับอากาศทั่วไปที่มีแผ่นกรองฝุ่นหยาบ(Pre Filter) ไม่สามารถดักกรองฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 10µm ยกเว้นเครื่องปรับอากาศที่ติดแผ่นกรองประสิทธิภาพสูง(HEPA) แต่ลมที่เป่าออกมาน้อยลงมาก ต้องเพิ่มกำลังพัดลมในการเป่าลมออกมา สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก
4. กระแสลมจากเครื่องปรับอากาศ พัดลม คนทำงานในห้อง ล้วนแล้วแต่มีส่วนทำให้อนุภาคของฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่ตลอดเวลา
5. ในห้องระบบปิดที่ปรับอากาศ โต๊ะ เก้าอี้ อุปกรณ์ต่างๆที่ใช้งานภายในห้อง รวมทั้งแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ที่ทำงาน หรือคนที่พักอาศัยอยู่ภายในห้อง ล้วนแต่มีส่วนกีดขวางการใหลของกระแสอากาศ ทำให้กระแสอากาศเกิดปั่นป่วน ฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย และเกิดมุมอับที่ไม่สามารถกำจัดฝุ่นได้
6. ปริมาณการหมุนเวียนอากาศ(ACH)ที่มากเกินความจำเป็น จะกลายเป็นปัญหา ทำให้การใหลของอากาศไม่ราบเรียบ เกิดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองและเชื้อโรค
7. การเติมอากาศ และหรือการดูดอากาศ ในปริมาณที่ไม่เหมาะสมสัมพันธ์กันกับความต้องการของห้องนั้นๆ อาจทำให้ห้องที่ต้องการแรงดันอากาศเป็นบวกกลายเป็นลบไปได้ หรืออาจเป็นในทางกลับกัน ซึ่งจะกลายเป็นผลเสียอย่างร้ายแรง
8. HEPA เป็นแผ่นกรองอากาศที่ทำงานโดยใช้ความหนาแน่นของเส้นใย มีประสิทธิภาพดักจับอนุภาคที่มีขนาดใหญ่กว่า0.3µm ได้ดี มีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับอายุการใช้งานไม่กี่เดือน และสิ้นเปลืองพลังงานอย่างมากในการผลักดันอากาศผ่านแผ่นกรอง อีกทั้งเชื้อที่ติดอยู่บนแผ่นกรองยังเจริญเติบโตขยายจำนวนได้ สามารถหลุดออกมาจากการเป่าลมในการเปิดเครื่องปรับอากาศครั้งต่อไป และถ้าเป็นห้องที่มีกลิ่นเช่นกลิ่นบุหรี่ กลิ่นสารเคมี(LAB) ยาฆ่าเชื้อ(OR) แผ่นกรองและฝุ่นที่ติดอยู่บนแผ่นกรองยังเก็บกลิ่นและปล่อยออกมาตลอดเวลาที่ใช้งาน
9. Air Ionizer เป็นเครื่องจะยิงประจุไฟฟ้าออกไปเพื่อดูดให้อนุภาคของฝุ่นมารวมกันมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น และตกลงบนพื้นเร็วขึ้น ฝุ่นและเชื้อโรคยังคงอยู่ในห้องบนโต๊ะหรือพื้นห้องไม่ได้ถูกกำจัดออกไป และถ้ามีคนทำงาน หรือยู่อาศัยก็จะฟุ้งกระจายขึ้นมาอีก
10. UVGI หลอดจะปล่อยแสงUVออกมา บริเวณใกล้หลอดจะมีความเข้มของแสงมากกว่าบริเวณที่ห่างออกไปเรื่อยๆ จะทำงานได้ผลดีเมื่อเชื้อโรคถูกแสงUVที่มีความเข้มและระยะเวลานานเพียงพอ ระยะห่างที่นอกความเข้มของแสงที่ไม่เพียงพอ หรือมุมอับแสง ไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคในอากาศได้ การนำไปใช้ให้ได้ผลต้องได้รับการออกแบบเพื่อใช้งานเฉพาะแห่ง ราคาแพงและเป็นอันตรายต่อคนมาก ไม่สามารถใช้งานขณะที่มีคนอยู่อาศัย
11. Ozone สามารถฆ่าเชื้อโรคในอากาศได้ดี แต่เป็นอันตรายต่อตาและระบบทางเดินหายใจของคนและสัตว์ มีอายุสั้นสลายตัวเร็ว ใช้ได้ดีกับห้องปิด แต่เมื่อเปิดห้องเข้าไปใช้งานหรือเปิดระบบระบายอากาศก็มีเชื้อโรคตามเข้ามาอยู่ดี และไม่สามารถกำจัดฝุ่นได้แต่อย่างใด การนำไปใช้งานต้องได้รับคำแนะนำและใช้งานเฉพาะแห่งเท่านั้น
12. HEPA ที่มีประสิทธิภาพ 99.97% ที่ 0.3µm หมายความว่า อนุภาคขนาด0.3µm จำนวน 10,000 อนุภาคสามารถผ่าน HEPA ออกไปได้เพียง 3 อนุภาค และ ULPA มีประสิทธิภาพ 99.9999% ที่ 0.3µm หมายความว่า อนุภาคขนาด0.3µm จำนวน 1,000,000 อนุภาคสามารถผ่าน ULPA ออกไปได้เพียง 1 อนุภาค เท่านั้น อ่านแล้วดูดีมาก แต่คำถามที่ตามมาคือ หนึ่ง ต้องใช้พลังงานมากขนาดไหนจึงจะผลักดันอากาศให้ผ่านออกไปได้ สอง ประสิทธิภาพที่ว่าไว้จะอยู่ได้นาน(ตันเร็ว)แค่ไหนในเมื่อมันดักจับอนุภาคขนาดใหญ่ไว้หมด นี่คือเหตุผลที่การใช้ HEPA,ULPA สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก อายุการใช้งานสั้น ราคาแพง และเป็นขยะมลพิษ

13. Electronic Air Filter EMF หรือ Electrostatic Field Media Filter เป็นการกรองอากาศที่ดีที่สุดในปัจจุบัน โดยการเหนี่ยวนำตัวกลางให้มีสภาพเป็นแม่เหล็กไฟฟ้าสถิต สามารถดูดจับอนุภาคที่มีขนาดเล็กมากๆได้ดี ยิ่งมีจำนวนชั้นสนามแม่เหล็กที่เพิ่มขึ้น ยิ่งดักจับอนุภาคได้เล็กลงไปอีก(0.01-0.00125 µm)แม้กระทั่ง Virus และที่สำคัญ Electronic Air Filter ของ ALPINE มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 5 ปี อากาศไหลผ่านได้ดี(กว่าHEPA 5เท่า) เนื่องจากไม่ต้องใช้ความถี่ของตะแกรงในการดักจับ จึงช่วยลดการใช้พลังงานลงมาก ไม่มีการปล่อยประจุไฟฟ้าหรือโอโซน ถูกนำไปทำการวิจัยโดยมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เพื่อยืนยันในประสิทธิภาพจริง ได้รับรางวัลระดับประเทศ และระดับโลกมากมาย (ดูรายละเอียดประสิทธิภาพ และผลการวิจัย)
14. การออกแบบและวัสดุตกแต่ง ผิวพื้น ผนัง ฝ้าเพดาน ครุภัณฑ์ รวมถึงลักษณะทางกายภาพของห้อง ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อการควบคุมฝุ่นละอองและการปนเปื้อนของเชื้อโรคในอากาศ
Infection Control
การควบคุมการติดเชื้อ โดยการกรองกำจัดสิ่งปนเปื้อนในอากาศในระบบปิด ปัจจุบันมีหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ควรศึกษาเพื่อพิจารณาในการเลือกใช้งานให้เหมาะสม หรือปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ และที่สำคัญ
- แผ่นกรองมีประสิทธิภาพในการดักจับจริง ?
- ออกแบบระบบควบคุมเหมาะสม?
- ลดการใช้พลังงาน ?
- เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ?